พบกับภาพยนต์ที่หลายคนรอคอยว่าเมื่อไรภาค 2 จะมาสักที Doctor Strange in the Multiverse of Madness จอมเวทย์มหากาฬในมัลติเวิร์สมหาภัย ซึ่งนำแสดงโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์” สำหรับในภาคนี้จะมีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามาเป็นตัวแปลที่สำคัญอีกด้วย

หลังจากเหตุการณ์ใน No Way Home ไม่กี่เดือน สตีเฟ่น สเตรนจ์ จอมเวทย์ผู้สามารถหยุดยั้งการล้างจักรวาลและคืนสันติสุขจากธานอส ได้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความต้องการของตัวเองหลังคนเคยรักอย่าง คริสทีน ได้แต่งงานใหม่หลังเขาโดนกวาดล้างไปกว่า 5 ปี เขาได้ค้นพบว่าชีวิตของเขานั้นไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว การมาของอเมริกา ชาเวซ เด็กสาวปริศนาผู้มีพลังอันมหัศจรรย์ที่ดึงดูดให้มารร้ายหมายมั่นจะชิงพลังมาจากเธอและคุกคามโลกนี้ สตีเฟ่นจึงต้องขอความร่วมมือจากวันด้า แม็กซิมอฟ ผู้ที่เคยสร้างปัญหาไว้ในอดีตและหนีมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่ทว่ามันอาจจะสายเกินไปแล้ว เมื่อภัยร้ายต่าง ๆ ได้ถาโถม สตีเฟ่นต้องเดินทางข้ามจักรวาลไปกับวันด้า เพื่อหยุดยั้งมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจทำลายล้างพหุจักรวาล ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากตัวของพวกเขาเอง แต่มันจะต้องแลกมาด้วยสิ่งไหนเพื่อปกป้องสิ่งที่พวกเขารัก น้ำหนักของความต้องการและความถูกต้อง อาจทำให้สายสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวที่สุดของเขาต้องขาดสะบั้น และอาจผลักดันให้สตีเฟ่นทำสิ่งที่จุดจบคือ ผลลัพธ์ที่น่าสะพรึงเกินกว่าจะจินตนาการ

รีวิว
การเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นสไตล์มาร์เวล ไม่มีการปูอะไรให้เลย นอกซะจากพูดเปรย ๆ ที่น่าจะพอทำให้คนนอกเข้าใจเนื้อเรื่อง แต่คงไม่เข้าถึงตัวละครหรือแรงจูงใจอะไรที่่มันถูกปูมานานแล้ว ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่ได้ดูซีรีส์หรือหนังมาก่อน และผมก็ยังยืนยันว่าควรตามมาก่อนในระดับนึง ช่วงแรกค่อนข้างเดินเรื่องไว รวบรัดและเน้นฉากบู๊อลังการแบบที่เราเห็นกันจนแอบคิดว่ามันก็ซ้ำ ๆ แบบหนังเรื่องก่อน ๆ แต่ผมคิดผิดพอหลัง 20 นาทีแรกขึ้นมา หนังเทิร์นตัวเองจากหนังฮีโร่กลายเป็นหนังระทึกขวัญจิตวิทยาทางตัวละคร แถมมีความสยองขวัญไปแต่นั่นเองที่เป็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้บทค่อนข้างโหวงเมื่อเทียบกับหนังมาร์เวลเรื่องที่ผ่านมา หนังเลือกจะประเคนทุกอย่างตามคอนเซปต์ผสมกับมุกตลกสไตล์ผู้กำกับแซมไรมี่ และฉากโหดเลือดสาดที่มากกว่าหนังทุกเรื่องของมาร์เวลแบบไม่ใช่เรต R ทำให้แฟนแกอมยิ้มได้
