แบทแมนเวอร์ชั่นผู้กำกับ แมตต์ รีฟส์ ที่มาในแนวสืบสวนอาชญากรรมฟิล์มนัวร์แตกต่างออกไปจากเวอร์ชั่นที่เคยทำมาทั้งหมด ซึ่งการเปลี่ยนแนวทางแบบนี้เป็นเรื่องปกติของแบทแมนที่มีรีเมคออกมาเรื่อยๆ ตามวิสัยทัศน์ของผู้กำกับแต่ละคน ถึงแม้ว่าในโลกของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ก็จะมีแค่ตัวละครเด่นๆ หลักๆ อยู่เพียงแค่ไม่กี่ตัวที่ครองใจและเป็นที่จดจำของผู้ชมอย่างยาวนานมาหลายทศวรรษ และก็เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘อัศวินรัตติกาล’ ได้กลับมาโลดแล่นบนจอใหญ่อีกครั้ง

The Batman ได้เล่าถึงช่วง 2 ปีแห่งการย่องเดินตามท้องถนนในร่างแบทแมน เอาชนะความกลัวและเข้าไปพัวพันกับอาชญากรรมทั้งหลาย จนบรูซ เวย์ถลำตัวเข้าสู่เงามืดแห่งก็อตแธม ซิตี้ โดยมีสหายที่วางใจได้เพียงไม่กี่คนอย่าง อัลเฟรด เพนนีเวิร์ธ หรือ เจมส์ กอร์ดอน ท่ามกลางกลุ่มผู้ทุจริตที่เลื่องชื่อของเมือง ศาลเตี้ยผู้โดดเดี่ยวต้องออกโรงแก้แค้นเพียงลำพังท่ามกลางประชาชนที่อยู่เคียงข้างเขา เมื่อฆาตกรได้เล็งเป้าหมายเป็นกลุ่มคนระดับแนวหน้าของก็อตแธม โดยมีการวางแผนร้ายอย่างต่อเนื่อง
แล้วการสะกดรอยอย่างลับๆ ครั้งนี้ได้นำสายลับผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเข้าสู่การสืบสวนในโลกของเหล่าอันธพาล เขาต้องเผชิญหน้ากับตัวละครต่างๆ ทั้ง แคทวูแมน, เดอะ เพนกวิน, คาร์ไมน์ ฟัลโคน และ เดอะ ริดเลอร์ เมื่อหลักฐานเริ่มชัดเจนมากขึ้น และแผนการของพวกเหล่าร้ายปรากฏให้เห็นได้ชัด แบทแมนต้องสานสัมพันธ์ครั้งใหม่เพื่อเปิดโปงโฉมหน้าผู้กระทำผิด และนำความยุติธรรมมาสยบการใช้อำนาจในทางมิชอบและการทุจริตที่เกิดขึ้นกับก็อตแธม ซิตี้มาอย่างยาวนาน

หลังจากผ่านไป 3 ชั้วโมงเต็มของหนังเรื่องนี้ คงต้องยอมรับว่าหนังค่อนข้างยาวนานมาก นานจนรู้สึกเมื่อยแม้ว่าจะนั่งอยู่กับที่ก็ตาม อาจจะต้องแนะนำให้ผู้อ่านที่จะดูหนังเรื่องนี้หาวิธีผ่อนคลายระหว่างชมสักเล็กน้อย ขยับตัวบ้างก็จะดีขึ้น เพราะทางเราเชื่อเหลือเกินว่า 3 ชั่วโมงของหนังเรื่องนี้แทบจะไม่มีใครอยากจะลุกออกไปเข้าห้องน้ำเลย ไม่เช่นนั้นอาจจะพลาดบางองค์ประกอบไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งทุกๆ ฉากในหนังเรื่องนี้คือเข้มข้นทุกนาทีจริงๆ
The Batman เต็มไปด้วยองค์ประกอบที่น่าชื่นชม มากมายถึงขนาดที่ไม่รู้จะเลือกกล่าวชมถึงอะไรก่อนดี เอาเป็นเริ่มจากโครงเรื่องที่เป็นไฮไลต์เด่นของหนังก่อนในลำดับ ต้องยกนิ้วโป้งให้กับความกล้าดีเดือดในการนำเสนอหนังซูเปอร์ฮีโร่มาในทางนี้ ซึ่งขณะที่เทรนด์หนังฮีโร่ในปัจจุบันมักจะเบนไปทางการหยอดใส่อารมณ์ขันและมุกตลกเข้าไปให้พอได้บันเทิงกัน แต่สำหรับ The Batman ความบันเทิงที่อิ่มเอมใจก็คือความเข้มข้นและขึงขังเบอร์ใหญ่ที่จัดให้มา

นี่จึงกลายเป็นหนังแบทแมนที่มีโทนอาชญากรรมและสืบสวนสอบสวนที่หนักแน่นมากที่สุด นับตั้งแต่เคยสร้างออกมาเลยก็ว่าได้ ความหม่นใกล้เคียงกับฉบับ The Dark Knight ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน หรือเผลอๆ เวอร์ชั่นนี้จะหม่นหมองกว่าเสียด้วยซ้ำ เส้นเรื่องของหนังค่อนข้างแข็งแรง ปมประเด็นต่างๆ ทั้งปมอาชญากรรม, คอร์รัปชั่น และเสียดวงการผู้มีอิทธิพลต่างๆ ทำออกมาได้ในโทนที่จับใจดี งานปั้นเรื่องของ “แมตต์ รีฟส์” ที่ลงมาดูแลควบคู่กับไป “ปีเตอร์ เคร็ก” (จาก Bad Boys for Life) กลายเป็นดรีมทีมที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
มาถึงองค์ประกอบงานสร้างของ The Batman ก็ยังคงใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบอีกจุดเช่นกัน แม้ว่าโทนของหนังจะเน้นไปเป็นหนังอาชญากรรมสืบสวนบนพื้นฐานของหนังฮีโร่ก็ตาม แต่ก็ได้งานที่ยิ่งใหญ่และจัดเต็มในทุกๆ ฉาก จึงทำให้ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างตราตรึงใจผู้ชมได้เป็นอย่างดี และก็ตามสไตล์หนังดีซีที่มักจะทำหนังออกมาหม่นๆ มืดๆ เป็นธรรมดา การเลือกใช้โทนพื้นฐานนี้กับหนังเรื่องนี้ถือว่าเหมาะสมกันเป็นอย่างดี อาจจะมืดไปบ้างในบางจุด แต่ก็พอปล่อยๆ ผ่านไปได้

งานถ่ายภาพในหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่น่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นการภาพถ่ายเล่นกับแสงและสีที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีและเหมาะสมกับบรรยากาศของเรื่อง ยังมีหลายๆ มุมภาพที่ถ่ายทอดและสื่อสารอารมณ์ของหนังได้ดีอย่างน่าประหลาดใจด้วย แต่เพราะด้วยความที่หนังมีเรท PG-13 ค้ำคอเอาไว้อยู่ ฉากความรุนแรงและนองเลือดต่างๆ จึงต้องลดดีกรีลงไป และใช้มุมภาพแทน ที่ต้องยอมรับว่า…แอบเคืองอยู่นิดหน่อย
และอีกไฮไลต์ที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ ดนตรีประกอบของหนังเรื่องนี้ ที่ประพันธ์โดย “ไมเคิล จิอัคชิโน” (จากหนัง Spider-Man ไตรภาคล่าสุด) ต้องยกนิ้วให้อีกเช่นกัน เพราะซาวน์ประกอบมีส่วนที่ช่วยบิ้วท์อารมณ์คนดูได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้ง 3 ชั่วโมงบนหน้าจอ แม้ว่าจะเป็นการหยิบเอาซาวน์เพลงคลาสสิกมามิกซ์และประพันธ์ออกมาใหม่โดยเฉพาะ แต่หลายๆ เพลงก็สัมผัสได้ถึงความทรงพลังและเร้าใจที่ส่งแรงกระตุ้นไปอารมณ์ของตัวครและเด้งสะท้อนกลับมายังคนดูได้อย่างน่าทึ่ง

The Batman นับว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของฝั่งดีซี ในการตีความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ออกมาในรูปแบบที่แตกต่างไปจากที่เคยเห็นมาก่อน ด้วยการใส่ความเป็นมนุษย์หลายๆ ด้านเข้าไปแบบที่ผู้ชมจะสัมผัสเข้าถึงได้ ฮีโร่ไม่จำเป็นต้องแกร่งเหนือมนุษย์เสมอไป พวกเขาก็มีความรู้สึก มีจิตใจ และมีภาวะอารมณ์ต่างๆ ไม่ต่างจากคนทั่วไป การฉีกแนวมาเป็นหนังฮีโร่อาชญากรรมเช่นนี้ ถือว่าให้ผลลัพธ์ออกมาที่น่าสนใจ
ถึงแม้ว่าหนังจะมีความยาวถึง 3 ชั่วโมง แต่กลับกลายเป็น 3 ชั่วโมงที่คุ้มค่าที่จะแลกไปให้กับความบันเทิงและองค์ประกอบที่ดีกลับคืนมา เป็นหนังฮีโร่ที่ยังไม่ค่อยเห็นกันบ่อยหนัก และต้องยอมรับว่า The Batman แทบไม่มีจังหวะไหนในหนังที่รู้สึกน่าเบื่อเลย ดังนั้น ความเป็นเอกเขนกของแบทแมนในเรื่องนี้ถือว่าสอบผ่าน ผ่านถึงขนาดที่เราก็ยังลุ้นให้ได้มีโอกาสเห็นเรื่องราวที่สานต่อจากสิ่งที่ปูเอาไว้ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ออกมาอีก…