ความเป็นอมตะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนต้องการ แต่ความเป็นอมตะก็ไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป เมื่อ แอนดี้ นักรบสาวอมตะที่อยู่มานานหลายปี เธอผ่านสงครามมามากมาย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มีผู้ต้องการเลือดเธอ

เรื่องย่อหนัง ‘The Old Guard’
หนังเรื่องนี้ไม่ตั้งชื่อไทยให้เมื่อยตุ้ม ใช้แบบทับศัพท์กันไปเลย ดิ โอลด์ การ์ด เรื่องราวของทีมเล็กๆ ทีมหนึ่งที่มีกันอยู่สี่คนอันประกอบไปด้วย แอนดี้ (Charlize Theron จากหนัง Atomic Blonde และ Mad Max: Fury Road) หญิงสาวผู้นำทีมที่มีอายุยืนยาวที่สุด, บุคเกอร์ (Matthias Schoenaerts จาก A Hidden Life และ The Danish Girl) ชายชาวฝรั่งเศสที่เคยเป็นทหารของนโปเลียน, โจ (Marwan Kenzari จาก Aladdin กับ What Happened to Monday) และนิกกี้ (Luca Marinelli) สองคนที่เคยเป็นฝ่ายตรงข้ามกันมาก่อนในสงครามครูเสดก่อนจะกลายมาเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน
พวกเขามีความพิเศษเหนือมนุษย์นั่นคือ พลังในการรักษาตัวเอง แม้จะโดนยิงจนเสียชีวิตไปแต่พวกเขาก็จะฟื้นกลับมามีชีวิตใหม่ กระสุนที่เคยฝังอยู่ก็ถูกเด้งออกมา แผลหายสนิทราวกับไม่เคยมีถูกกระสุนเจาะเลือดเนื้อมาก่อน

แต่ชีวิตของพวกเขากำลังเปลี่ยนแปลงเมื่อมีบริษัทยาแห่งหนึ่งที่นำโดยมิสเตอร์วอร์ริก (Harry Melling ดัดลีย์ เดอร์ลีย์จากหนังเรื่อง Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 1) ต้องการนำตัวพวกเขาทั้งทีมมาทดลองผ่านเอเยนต์อย่าง โคเปลย์ (Chiwetel Ejiofor มอร์โดจากหนังเรื่อง Doctor Strange) แต่ในช่วงเวลานั้นทีมได้พบสมาชิกคนใหม่
![Review] The Old Guard (Netflix) - พล็อตเรื่องเชยๆ แอ็คชั่นธรรมดา แต่มีความเท่ของนักแสดงนำ ทำให้หนังดูดีขึ้นได้นิดนึง - Pantip](https://f.ptcdn.info/235/070/000/qdrii16g80I5Bu0OH89T-o.jpg)
รีวิวหนัง ‘The Old Guard’
หนังเรื่องนี้พาเราไปรู้จักกับทีมซูเปอร์ฮีโร่ที่เราไม่เคยรู้ถึงการมีของพวกเขามาก่อน การที่พวกเขามีพลังฟื้นฟูตัวเองทำให้ตายแล้วฟื้นใหม่ได้หลายหน แน่นอนว่า พวกเขาก็คงต้องอยู่บนโลกนี้มาอย่างยาวนาน และหนังก็พยายามจะตั้งคำถามต่อคนดูอยู่เป็นระยะว่า โลกสร้างพวกเขาขึ้นมาทำไม
หนังแอคชั่นที่ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นตามเวลาของหนัง
เอาจริงๆ ในความรู้สึกผม กับการดูหนังแอคชั่นบนจอทีวีในระบบสตรีมมิ่งนี่มันไม่ได้ชักชวนให้รู้สึกตื่นตาหัวใจเต้นระรัวอย่างที่รู้สึกในโรงภาพยนตร์นะ แต่มันการรับชมภาพยนตร์ที่สามารถหยุดพักไปห้องน้ำ เปิดอ่านมือถือ หรือเอาของไปเก็บได้อยู่เป็นพักๆ ทำให้เราไม่ได้โฟกัสเต็มที่กับหนังเท่ากับการอยู่ในโรงจริงๆ หรอก

สำหรับ ดิ โอลด์ การ์ด นั้น ผมมองว่ามันเป็นหนังที่ค่อนข้างมีพาร์ทดราม่าค่อนข้างเยอะนะ ซึ่งมันก็เป็นช่วงของการเล่าเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจที่มาและเบื้องหลังของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ นั่นแหละ ทำให้เราได้รู้ว่า พวกเขามีมาแต่ยุคไหน มีเรื่องราวอะไรที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นบ้าง มีปมอะไรในใจของแต่ละคนมั้ย อะไรอย่างนี้…
เพราะฉะนั้นช่วงครึ่งแรกของหนังจะวนอยู่กับการพูดคุยและเล่าเรื่องเสียเยอะ ก่อนที่จะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กับฉากการต่อสู้ที่ใช้สตันท์น้อยเน้นเล่นจริง และเมื่อมันเป็นหนังที่ยิงกันเลือดสาด มันก็เป็นธรรมดาที่หนังจะได้เรท R
